Flapping Purple Butterfly

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 3

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2559

 เวลา 08:30-12:30 น.


เนื้อหาที่เรียน
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
-สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ
-สาระที่ 2 การวัด
-สาระที่ 3 เรขาคณิต
-สาระที่ 4พีชคณิต
-สาระที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น
-สาระที่ 6 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
คุณภาพของเด็กเมื่อจบการศึกษาปฐมวัย
1.มีความคิดเชิงคณิตศาสตร์
2.มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงิน และเวลา
3.มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางเรขาคณิต
4.มีความรู้ความเข้าใจและแบบรูุปของรูปที่มีรูปร่าง ขนาด สีที่สัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
5.มีส่วนร่วมในการให้ขอมูลและนำเสนอ ข้อมูลในรูปแผนภูมิอย่างง่าย
6.มีทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็น

เพลง


สวัสดีคุณครู
สวัสดี คุณครู ที่รัก      หนูจะ ตั้งใจ อ่านเขียน
ยามเช้า เรามา โรงเรียน           หนูจะ พากเพียร ขยันเรียนเอย

เข้าแถว
เข้าแถว เข้าแถว         อย่าล้ำแนว ยืนเรียงกัน
อย่า มัวแชเชือน       เดินตาม เพื่อนให้ทัน
ระวัง เดินชนกัน     เข้าแถวกัน ว่องไว

เพลง จัดแถว
สองมือเราชูตรง               แล้วเอาลงมาเสมอกับบ่า
ต่อไปย้ายมาข้างหน้า                แล้วเอาลงมาอยู่ในท่ายืนตรง

เพลง ซ้ายขวา 
ยืนให้ตัวตรง              ก้มหัวลงตบมือแผละ
แขนซ้ายอยู่ไหน      หันตัวไปทางนั้นแหละ


การเรียนในวันนี้ความรู้ที่ได้รับ -อาจารย์เข้าสู่บทเรียนโดยการให้นักศึกษาเขียนชื่อตัวเองใส่แผ่นกระดาษที่เตรียมไว้ให้ และเขียนชื่อตัวเอง และให้ไปติดใส่ช่องที่มา และช่องที่ไม่มาสำหรับคนที่ไม่มา เป็นการได้นับจำนวน รู้จักการนับ การเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก การเปรียบเทียบมากกว่าน้อยกว่าเท่าไหร่ให้หามาเติม


ทักษะที่ได้จากการเรียนวันนี้ -จำนวนเต็มกับการลบ การแยกกลุ่ม
-การเปรียบเทียบ
-นับจำนวนเลขกำกับ
-ทักษะการคิด การนับ

การนำไปประยุกต์ใช้ -การสอนคณิตศาสตร์ให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน

-สอนคณิตศาสตร์โดยให้เด็กได้ใช้ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ
-สอนคณิตศาสตร์ผ่านเพลง

บรรยากาศในห้องเรียน

-อากาศหนาวเย็น มีไฟดับด้วย

การจัดการเรียนการสอน
-วันนี้อาจารย์นำเพลงมาสอนโดยแฝงด้วยการคิดคณิตศาสตร์อาจารย์ได้สอนวิธีการร้องเพลง อาจารย์ร้องเพลงได้ไพเราะ มีการเตรียมเนื้อหามาอย่างดี

วิเคราะห์ตนเอง

-ยังร้องเพลงเพี้ยน และจับประเด็นเพลงที่โยงเข้าคณิตศาสตร์ยังไม่ได้บางครั้งยัง งงๆอยู่ แต่ตั้งใจมาเรียนมาก

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่างการสอน



               จะทำอย่างไรให้นักเรียนรู้สึกว่าคณิตศาสตร์เป็นเรื่องสนุก และเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ไม่ใช่แค่โจทย์ที่อยู่บนกระดานเท่านั้น ดังนั้น ครูวันทนีย์ กะตะศิลา จากโรงเรียนวัดน้ำดิบ จังหวัด ลำพูน จึงจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงเข้ากับชีวิตจริงของนักเรียน โดยการนำสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวมาเป็นสื่อในการเรียนรู้ เช่น การนำขนมประจำท้องถิ่นมาสอนเรื่องรูปเรขาคณิตหรือการต่อหลอดกาแฟเพื่อให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องของมุมที่ทำให้เกิดเป็นรูปเรขาคณิต หรือการให้นักเรียนหาสิ่งของรอบๆ ตัวที่เป็นรูปเรขาคณิตต่างๆ มาส่งคุณครู เพื่อให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องเรขาคณิตจากสิ่งของรอบตัวได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้นักเรียนเกิดความสนุก และได้เรียนรู้ว่ารูปเรขาคณิตมีความสัมพันธ์กับชีวิตอย่างไร ทำให้การเรียนคณิตศาสตร์มีคุณค่า และมีความหมายมากยิ่งขึ้น
              สมัยก่อนครูสอนเรื่องเรขาคณิตอย่างไร ::ครูวันทนีย์ กะตะศิลา ท่านเล่าว่า "เรขาคณิตมีรูปสี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน สี่เหลี่ยมจัตตุรัส เด็กก็ฟังอย่างเดียว เหมือนกับเราบรรยาย ทำให้เด็กไม่มีความสุขในการเรียนเรื่องเรขาคณิต การที่จะทำให้ได้ผลเราก็มาออกแบบใหม่โดยให้เขามีส่วนร่วม ได้มาจับต้องโดยประยุกต์จากชีวิตประจำวัน"

กลยุทธ์ในการสอนเรื่อง เรขาคณิต ของ ครูวันทนีย์ กะตะศิลา

            1. การสร้างแรงจูงใจในการเรียนเรื่องเรขาคณิต โดยการให้เด็กได้เห็นขนมพื้นบ้านประเพณีและวัฒนธรรม เช่น ขนมคนจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนมต้มหรือข้าวเหนียวต้มจะเป็นรูปสามเหลี่ยม ที่เอาขนมมาสร้างแรงจูงใจจะเกิดผลดี ว่ามีความตั้งใจในการอยากรู้อยากฟังอยากทำ โดยที่เขาจะยังไม่รู้ว่าสิ่งนี้ครูกำลังสอนเขาแล้วนะ เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนเรื่องรูปเรขาคณิต เป็นการสร้างเเรงจูงใจและเขาก็จะได้ชิม
            2. ทบทวนความรู้เดิมว่าแต่ละคนมีพื้นฐานยังไง
            3. เสริมความรู้ใหม่โดยใช้กระบวนการกลุ่ม
            4. เมื่อได้ความรู้แล้วเขาเอาความรู้นั้นไปใช้ยังไง

              เมื่อครบ 4 องค์ประกอบข้างบนแล้วคุณครูให้นักเรียนเอาหลอดมาแทนสิ่งเส้นตรงโดยทำเป็นกลุ่ม เด็กก็จะได้คิดว่าหลอดที่ได้เอามาต่อกันอย่างไร และให้เด็กบอกว่าเป็นรูปอะไร เพื่อนำเสนอ เด็กก็จะต่อเป็นสามเหลี่ยมสี่เหลี่ยม โดยมีคุณครูคอยถาม ว่ากี่เหลี่ยม มีกี่ด้าน กี่มุม  เด็กก็จะได้ออกมานำเสนอหน้าห้องเรียน
              ต่อมาก็ให้เด็กไปหาของซึ่งครูได้ออกแบบใส่กะละมังเพื่อให้เด็กได้ไปค้นหาว่าสิ่งของเหล่านั้นมีส่วนประกอบของรูปเรขาคณิตอะไรบ้าง เพื่อเสริมว่ามีอะไรเพิ่มขึ้นมา เช่น วงกลม วงรี หรืออื่นๆที่คุณครูเตรียมไว้นอกจากที่เขาต่อมาได้
              สุดท้ายเป็นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน คุณครูจะให้เด็กไปหาสิ่งของทีอยู่รอบตัวว่ามีสิ่งไหนที่เป็นรูปเรขาคณิตอยู่ เพื่อให้เด็กได้เกิดความรู้ที่ว่าสิ่งเหล่านี้ได้เอาไปใช้จริงๆนะ มีจริงๆนะ

สรุป
        ในการสอนเรื่องรูปเรขาคณิตไม่จำเป็นต้องไปหาสื่อที่แพงหรืออะไรให้เหนื่อย มันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา เราสามารถหยิบจับรอบๆตัวเรามาเป็นสื่อในการเรียนการสอนได้ ให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่น และได้ต่อยอดว่าสิ่งเหล่านี้ให้เด็กเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

ที่มา :: โทรทัศน์ครู

การจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยที่มีผลต่อทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย

ปริญญานิพนธ์ ของ ศิริลักษณ์ วุฒิสรรพ์

เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ตุลาคม 2551


                    การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย มาใช้ในการจัด
ประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ผลการวิจัย ในครั้งนี้จะเป็นแนวทางให้กับครูและผู้เกี่ยวข้อง นำไปใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มี
ความพร้อมทางด้านทักษะคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัยและพัฒนาทักษะที่เป็นพื้นฐานในการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป และสามารถนำไปปรับใช้ เชื่อมโยงกับทักษะอื่นๆ ต่อไป

ความมุ่งหมายของการวิจัย

1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวมของเด็กปฐมวัย
ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย
2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์รายด้านของเด็กปฐมวัย
ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย

ขอบเขตของการวิจัย
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
            ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย – หญิงอายุ 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่
ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนบ้านสามแยก สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
             กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย – หญิงอายุ 5 – 6 ปีที่กำลังศึกษา
อยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนบ้านสามแยกสังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2 จำนวน 15 คน จากห้องที่ผู้วิจัยเป็นครูประจำชั้น

วิธีดำเนินการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 เป็นเวลา 8 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 40 - 50 นาที รวมระยะเวลาทดลองทั้งสิ้น 32 ครั้ง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. ขอความร่วมมือกับผู้บริหารโรงเรียนในการทำวิจัย
2. แจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย เพื่อขอความ
ร่วมมือในการเป็นวิทยากร และสนับสนุนการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย
3. สร้างความคุ้นเคยกับเด็กกลุ่มตัวอย่าง และจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อ
การจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์
4. ทำการทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กกลุ่มตัวอย่างก่อนการทดลอง
(Pretest) จำนวน 15 คน ด้วยแบบประเมินเชิงปฏิบัติทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ จำนวน 4 ชุด
โดยทำการทดสอบวันละ 1 ชุด เป็นเวลา 4 วัน
5. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองโดยจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างใช้เวลา
8 สัปดาห์ๆ ละ 4 วันๆ ละ 40 - 50 นาที ช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์เริ่มเวลา 09.00 – 09.50 น.
จนสิ้นสุดการทดลองรวมทั้งสิ้น 32 ครั้ง ในการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นทบทวนความรู้และเลือกหัวข้อเนื้อหาที่สนใจ ขั้นเด็กค้นคว้าวิจัยหาความรู้ และขั้นการประเมินผล
6. กำหนดการทดลองโดยกำหนดหัวข้อเรื่องในการเรียนรู้ตามความต้องการของเด็กซึ่ง
อยู่ในขั้นทบทวนความรู้และเลือกหัวข้อเนื้อหาที่สนใจของการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย

อภิปรายผล
              การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
โดยรวมและรายด้านของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยปรากฏผล
ดังนี้ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวม
และรายด้านทุกด้านสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของการ
วิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยสามารถส่งเสริมทักษะพื้นฐาน
ทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยให้สูงขึ้นได้ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้สามารถอภิปราย
ผลได้ว่า
           การจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ตามความสนใจของตนเองโดยในขั้นทบทวนความรู้และเลือกหัวข้อเนื้อหาที่สนใจเด็กได้เล่าประสบการณ์เดิม แสดงความคิดเห็นและกำหนดหัวเรื่องในการเรียนรู้อย่างอิสระ ในขั้นค้นคว้าหาความรู้เด็กได้เลือกร่วมกิจกรรมการค้นคว้าอย่างอิสระ ศึกษาเรียนรู้จากสื่อที่เป็นของจริง ได้มีโอกาส จับ สัมผัส มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง ค้นคว้าหนังสือในห้องสมุด ค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต การซักถามวิทยากร ผู้ปกครองและครู ขั้นการประเมินได้คิดกิจกรรมผลงานตามความถนัดและความสนใจ ซึ่งทุกขั้นของการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยเด็กได้ใช้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ขณะทำการเรียนรู้อยู่ตลอดการเข้าร่วมกิจกรรม โดยครูมีส่วนสำคัญในการจัดสภาพแวดล้อม กระตุ้นให้เด็กคิด แสวงหาคำตอบ และจัดเตรียมสื่อการสอนวัสดุ อุปกรณ์หลากหลาย มีจำนวนที่เพียงพอสำหรับเด็กในการศึกษาหาความรู้ ผลให้เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่สูงขึ้น

ที่มา การจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยที่มีผลต่อทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย


บทความ
"สอนลูกเรื่องเรขาคณิต"
สอนลูกเรื่องเรขาคณิต
                      การสอนลูกเรื่องเรขาคณิต (Teaching children about Geometry) หมายถึง การจัดกิจกรรมให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจคณิตศาสตร์ที่ว่าด้วยความเกี่ยวพันระหว่างเส้น มุม และการวัดเนื้อที่ และรู้จักรูปเรขาคณิตซึ่งหมายถึงรูปต่างๆ ทางเรขาคณิต ได้แก่รูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม วงกลม เป็นต้น รวมถึงรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งหมายถึง รูปที่มีส่วนเป็นพื้นผิว ส่วนสูง และส่วนลึก หรือหนา สิ่งต่างๆรอบตัวเราที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมานั้น ล้วนนำความรู้และทักษะทางคณิตศาสตร์เรื่องรูปเรขาคณิต และรูปทรงเรขาคณิตมาใช้ เช่น ที่อยู่อาศัย โต๊ะ กล่อง หีบใส่ของ กระเป๋า ตู้ หนังสือ ถาด จาน ชาม กรอบรูป ลูกบอล กรวย ถัง และอื่นๆอีกมากมาย ตามธรรมชาติคนเราจะเคลื่อนไหวไปมา จึงได้สัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัว และจะค่อยๆ ซึมซับสิ่งเหล่านั้น สำหรับเด็กปฐมวัยแล้วการเรียนรู้ของเขาขณะเคลื่อนไหวร่างกาย คือการที่เด็กได้เล่น ดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงสามารถเรียนรู้เรื่องรูปทรงเรขาคณิต และรูปเรขาคณิตได้ แม้ในวัยนี้เด็กบางคนอาจจะเรียกชื่อ หรือขีดเขียน รูปเรขาคณิต รูปทรงเรขาคณิตไม่ได้ก็ตาม แต่เด็กสามารถสังเกตได้ การเรียนรู้ก็จะเกิดได้แน่นอน ดังที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท) ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้จึงได้กำหนดสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์(ขอบข่ายเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยควรเรียนรู้) ในสาระที่ 3 เรื่องเรขาคณิต และให้มีการจัดการเรียนการสอน เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ข้อ 3.2 คือให้รู้จักจำแนกรูปเรขาคณิตและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงรูปเรขาคณิตที่เกิดจากการกระทำ ซึ่งเป็นบทบาทของพ่อแม่ และครูควรร่วมมือกันส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็ก

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 2

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2559

 เวลา 08:30-12:30 น.



การเรียนในวันนี้ความรู้ที่ได้รับ -วันนี้อาจารย์ได้แจกกระดาษให้นักศึกษาโดยหยิบคนล่ะแผ่นและส่งต่อทีละคน ในกระบวนการนี้เพื่อที่จะเช็คจำนวนว่า กระดาษมีมากว่าหรือนักเรียนมีมากว่ากระดาษ เป็นการเช็คจำนวนนักศึกษาอีกด้วย

ทักษะที่ได้จากการเรียนวันนี้ -การคิดแก้ปัญหา
-การเชื่อมโยงความรู้

การนำไปประยุกต์ใช้ -การทำผังความคิดที่เป็นระเบียบง่ายต่ออ่านและทบทวน -วิธีการนับการเพิ่มจำนวนในอีกรูปแบบคือการแจกกระดาษ เพื่อนับดูจำนวนคนกับกระดาษ มากว่าน้อยกว่า
บรรยากาศในห้องเรียน
บรรยากาศวันนี้น่าเรียนอากาศแจ่มใส เพื่อนๆตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานที่มอบให้

การจัดการเรียนการสอน
อาจารย์วันนี้แต่งตัวสวย เตรียมการสอนมาดี

วิเคราะห์ตนเอง
วันนี้ก็มีความพร้อมกับการเรียนและตั้งใจเรียนดี 

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนการสอนครั้งที่ 1 

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม 2559

 เวลา 08:30-12:30 น.




การเรียนในวันนี้ความรู้ที่ได้รับ -อาจารย์สอนให้นักศึกษารู้จักการคิดแก้ปัญหา ว่าจะทำอย่างไรให้แบ่งกระดาษได้เท่าๆกัน นอกจากนนร้ยังนำเข้าสู่ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เพราะมีเศษกระดาษเหลือ1แผ่น มีคน อยู่14คน ใช้กระดาษเต็ม5แผ่นแบ่ง เท่ากับ15-14เหลือ1 -ได้เรียนรู้การทำblogมากขึ้น ว่าในblogควรมีอะไรในนั้นบ้าง

ทักษะที่ได้จากการเรียนวันนี้ -การคิดแก้ปัญหา -การใช้เทคโนโลยีร่วมกับการเรียน

การนำไปประยุกต์ใช้ -นำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียน -การนำการคิดคำนวณไปใช้ในชีวิตประจำวัน


บรรยากาศในห้องเรียน
-เพื่อนๆช่วยกันตอบคำถามและให้ความสนใจในเนื้อหาที่เรียน

การจัดการเรียนการสอน
-อาจารย์มีการเตรียมการสอนและสอดแทรกการประยุกต์ใช้ตลอดเนื้อหา เป็นกันเองกับนักศึกษา

วิเคราะห์ตนเอง
-ตลอดเวลาที่เรียนสนุกไปกับการเรียน เพราะอาจารย์มีคำถามและกิจกรรมให้ทำตลอดเวลา